st. patricks day
cherry blossom

วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

หลักประชาธิปไตยต้องไม่เบียดเบียนกัน

เพราะฉนั้น ท่านทั้งหลาย เมื่อท่านต้องการความสุข ต้องไม่สร้างทุกข์ให้แก่ใคร โดยถือหลักปฏิบัติตามคติธรรมที่ว่า
อัพะยาปัชชัง สุขัง โลเก การไม่เบียดเบียนกันเป็นสุขในโลก หมั่นเตือนตนไว้เสมอไม่พึงมุ่งหวังเอาชนะคะคานซึ่งกันและกัน
ในทางมิชอบ พึงยึดหลักไว้เสมอว่า "อย่าพูดให้ใครช้ำ อย่าทำให้ใครเคือง" ปัญหาทุกอย่างในบ้านเมืองล้วนแก้ไขได้
หากมุ่งหวังที่จะเป็นประชาธิปไตย จงลดอัตตาธิปไตยลง ระวังอย่าใช้กิเลสาธิปไตย คือ เอาความถูกใจพอใจของตนเป็นหลัก
แต่จงถือธรรมาธิปไตย คือ ความถูกต้องเป็นแนวทาง มิเช่นนั้นจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้น ดังที่พระท่านสอนให้เตือนตนไว้เสมอ
ว่า
เตือนใคร ไม่ดีเท่า เราเตือนตัว
ฝึกอะไร ไม่ดีเท่า เราฝึกตัว
ฟ้องใคร ไม่ดีเท่า เราฟ้องตัว
ตัดสินใคร ไม่ดีเท่า เราตัดสินตัว
ดูอะไร ไม่ดีเท่า เราดูตัว
รู้อะไร ไม่ดีเท่า เรารู้ตัว
ชนะใคร ไม่ดีเท่า เราชนะตัว
จากบทบรรยายของ พระราชธรรมวาที

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

วัคซีนธรรม กันทุกข์

บัณฑิตแต่โบราณท่านกล่าวไว้น่าคิดตอนหนึ่งว่า "มีลูกไว้พึ่งพา มีศาสนาไว้พึ่งใจ" ทั้งนี้ก็เพื่อจะให้ชีวิตมีที่พึ่งที่ยิดเหนี่ยว ศีลธรรมทางศาสนานั่นแหละ
คือยอดของโอสถหรืออาหารใจ
ท่านทั้งหลายอย่าเพลินแต่แสวงหาอาหารบำเรอกาย จนลืมเติมอาหารบำรุงใจ มิฉะนั้นจะกลายเป็นว่า "อิ่มเพียงท้องแต่พร่องทางใจ" ตรงกันข้าม ผู้ใดฉีดวัคซีน
ทางศาสนาเข้าสู่จิตใจมาก ชีวิตก็มีความผ่องแผ้วบริสุทธิ์ ประดุจปุ๋ยที่ช่วยบำรุงชีวิตให้งอกงาม ช่วยบันดาลให้ เป็นอะไรก็ดี มีอะไรก็สวย แม้เมื่อม้วยก็สุข
ดังบทประพันธ์ที่ว่า
อยู่เรือนแคบยังดีไม่มีทุกข์ ดีกว่าคุกตะรางที่กว้างใหญ่
จนก็มีศีลธรรมประจำใจ มีหวังได้สุขาไม่ราคี
อันเงาร่มชายเรือนเหมือนสวรรค์ ต้องเสกสรรให้บริสุทธิ์ศรี
จึงจะอยู่สุขทุกทิวาและราตรี ก็ต้องมีศีลธรรมนำพาไป
จากบทความพระราชธรรมวาที

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

อยู่กันด้วยความรัก

ในทางพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าสอนให้เราถือว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนร่วมทุกข์
เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น คือคิดว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายมีความสุขความเจริญ งดเว้นจาก
การคิดเบียดเบียนกัน ริษยากัน พยาบาทอาฆาตจองเวรกัน ไม่มีอารมณ์เกลียด ไม่มีอารมณ์ชังต่อสิ่งใด ๆ
ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนดี หรือว่าจะเป็นคนเสีย ถ้าเป็นคนดีเราก็ดีใจกับเขา ถ้าเป็นคนเสียเราก็เสียใจกับเขา
แล้วเราตั้งใจไว้ว่าขอให้เขาดีเสียเถิด ขออย่าได้เป็นเช่นนั้นเลย ขอให้พ้นจากความชั่วในชีวิตประจำวัน
กันเสียเถิด
เราอย่าไปโกรธเขา เราอย่าไปเกลียดเขา ให้นึกถึงอกเขาอกเราว่า เราต้องการความสุขอย่างใดเขาก็ต้อง
การความสุขอย่างนั้น เราเกลียดความทุกข์อย่างใด เขาก็เกลียดความทุกข์อย่างนั้น สิ่งใดเราไม่ชอบ
สิ่งนั้นเขาก็ไม่ชอบเหมือนกัน
เวลาเราพบใครเราก็ควรนึกว่า ขอให้คุณเป็นสุขเป็นสุข ขอให้คุณปราศจากความทุกข์ ความเดือดร้อน
ขอให้คุณมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตในการงาน เพียงแต่เราคิดเท่านั้นเราก็สบายใจแล้ว เพราะเป็น
ความคิดที่แผ่เมตตาปรารถนาดีต่อเขา
ถ้าเราคิดให้คนอื่นสบาย เราก็สบาย ถ้าเราคิดให้คนอื่นเดือดร้อน เราก็มีทุกข์เดือดร้อน
ลองพิจารณาตัวท่านเอง ขณะใดที่ท่านเกลียดคนอื่น โกรธคนอื่น ท่านคิดพยาบาทคนอื่น ท่านมีความ
ริษยาต่อคนอื่น ความรู้สึกในใจของท่านเป็นอย่างไร ท่านก็จะรู้ได้ด้วยตัวเอง ว่าใจของท่านร้อนใจของ
ท่านมืดมัว ใจของท่านวุ่นวาย ไม่มีความสงบเกิดขึ้น
เราไม่ควรจะคิดอะไร พูดอะไร ทำอะไร ที่เป็นไปในทางโหดเหี้ยม ดุร้าย แต่ควรจะคิด พูด ทำ แต่ในทาง
ที่เป็นคุณประโยชน์แก่ชีวิตของเรา ของผู้อื่นอย่างแท้จริง ความรักมีความมุ่งหมายอย่างนี้
เราทั้งหลายจึงควรจะอยู่กันด้วยความรัก เลิกโกรธ เลิกเกลียด เลิกอาฆาตพยาบาทจองเวรแก่กันและกัน
ถ้าหากว่าเรามีเรื่องผิดพ้องหมองใจกันกับใคร ๆ อยู่บ้าง เราก็เลิกจากสิ่งนั้น
เรามาคิดสอนตัวเองว่าตั้งแต่โกรธเขา เกลียดเขา พยาบาทจองเวรเขา มันมีอะไรดีขึ้นในชีวิตของเราบ้าง
ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าเราต้องมีความทุกข์ทางจิตใจ ต้องหวาดระแวงภัยตลอดเวลา
เพราะกลัวว่าคนนั้นจะมาทำร้ายเรา จะมาเบียดเบียนเรา จะมาสร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้แก่เรา
การเป็นอยู่ในรูปอย่างนั้น มันจะมีความสุขที่ตรงไหน ไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย เพราะเป็นความคิดที่
เบียดเบียน
ตรงกันข้าม ถ้าเราไม่คิดเบียดเบียนใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เราก็มีความสุขความสบาย ตามพระพุทธ
ภาษิตที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
อัพพะยา ปัชฌัง สุขัง โลเก การไม่เบียดเบียนกันเป็นความสุขในโลก

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

ติดแอร์หัวใจ

ปาฐกถาธรรมเรื่อง "สุขทุกฤดู" ของอาตมภาพวันนี้ หวังที่จะเชิญชวนทุกท่านหันมาติดแอร์ให้แก่หัวใจ
มุ่งสลายคลายความร้อน ทั้งร้อนนอกร้อนใน ให้กลับกลายเป็นความร่มเย็นเป็นสุขแก่ทุกท่าน
หากท่านทั้งหลายยินดีพลีหัวใจ ให้ศีลธรรมทางศาสนาได้มีโอกาสชำแรกเข้าไปสมานเยียวยาบ้าง ชีวิต
ก็จะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบ มิใช่ภายนอกสดใสแต่ภายในฟอนแฟะ อย่างนี้เห็นทีจะเข้าตำราว่า "มีเกลือแต่ปล่อย
ให้เนื้อเน่า"
เหมือนมีโอสถพิเศษ คือธรรมะ แต่กลับปล่อยให้โรคร้ายคือกิเลสรุมกัดรุมเกาะ ก็ไม่ต่างอะไรกับยาที่อยู่
ในตู้แต่โรคร้ายอยู่ในตัว ซึ่งช่วยอะไรไม่ได้ ไร้ประโยชน์

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553

โรคฮิต...ติดอันดับ

เป็นที่น่าสังเกตว่าโรคที่บั่นทอนพลานามัยและเป็นภัยต่อสังคมอยู่ขณะนี้มี ๓ โรค เรียกว่า โรค ๓ อ.คือ
โรคอด... ไม่มีจะกินจะใช้
โรคเอดส์... เพราะสำส่อน
โรคอิจฉ์... คือโรคตาร้อนตาลุก เป็นอาการไม่ปกติทางจิตชนิดหนึ่ง คือ อิจฉาริษยา เห็นใครดี ใครเด่น
ใครดังเกินหน้าเกินตาแล้วอดรนทนไม่ไหวทำใจไม่ได้ กลายเป็นคนเจ้าทุกข์ จ้องหาจังหวะที่จะทำลายผู้อื่นให้พินาศ
ด้วยอุบายวิธีต่างๆ ดังคำบาลีที่ว่า "อรติ โลกนาสิกา (อะระติ โลกะนาสิกา) ความริษยายังโลกาให้พินาศ"
นี่แหละที่ท่านเรียกว่าโรค "อิจฉาตาร้อน"

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

สุขทุกฤดู

เดือนเมษายนของทุกปี เป็นช่วงที่อุณหภูมิร้อนรุ่มเป็นที่สุด หากร้อนแต่เพียงภายนอก คือ ร้อนกายอันเกิดจากธรรมชาติ
ก็พอทนไหว แต่ถ้าร้อนภายใน คือร้อนใจอันเกิดจากไฟกิเลส ก็เป็นเหตุให้บางคนบางท่าน ถึงกับมีอันเป็นไปต่าง ๆ นานา
เข้าลักษณะว่า "อยู่ร้อนนอนทุกข์" กระสับกระส่ายวุ่นวายทางจิตใจ ถึงกับโรคภัยแทรกแซง
โรคนั้นมี ๒ ชนิด คือ โรคทางกาย กับ โรคทางใจ
ผู้ที่มีทุกข์มีปัญหาทางกาย ก็เพราะถูกโรคภัยเบียดเบียน
ผู้ที่มีทุกข์มีปํญหาทางใจ ก็เพราะถูกกิเลสเบียดเบียน
หากท่านทั้งหลายศึกษาหาทางยับยั้งป้องกันสรรพกิเลสน้อยใหญ่มิให้มีโอกาสแสดงบทบาทหรือประกาศอิทธิพลได้แล้ว
ท่านก็จะพ้นจากสภาพ "อยู่ร้อนนอนทุกข์" หันมา "อยู่สุขเย็นใจ" เมื่อนั้น
จากพระราชธรรมวาที
๑๙ มี.ค. ๕๓

วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทดลอง 2

วันนี้มีภาพสวย ๆ มาฝาก

ทดลอง 2

17 มี.ค. 53 วันนี้ฝนตกแต่เช้า ทำให้อากาศเริ่มเย็นลง ดีใจจังเลย

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทอสอบ

Japan Cherry Blossoms

แบบผม

สวัสดีชาวบล็อก

เขย่า ๆ

ทดสอบ

16 มี.ค. 53 เป็นวันแรกที่ผมฝึกทำเว็บบล็อก ไม่ยากอย่างที่คิด เพราะมีครูหนึ่งให้คำปรึกษา