st. patricks day
cherry blossom

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

เมล็ดพันธ์ของการกระทำ

การเกิดของเรานี้ไม่ต่างอะไรกับการงอกของเมล็ดพันธ์ตันไม้ ซึ่งจะสมบูรณ์เจริญเติบโตขึ้นมาอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมของเมล็ดนั้นและสภาพแวคล้อม ภูมิอากาศ อาหารฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่เอื้อในการเจริญเติบโตของต้นไม้ สำหรับเมล็ดพันธุ์ไม้ที่เจริญงอกมาได้นั้น มีทั้งลำตันที่เจริญเติบโตแข็งแรงดี แต่บางต้นก็แคระแกรน ตายไปตั้งแต่รากแก้วยังไม่แข็งแรง เปรียบดั่งสัตว์ทั้งหลาย ที่สิ้นอายุไปเสียแต่เยาว์วัย บางจำพวกแม้รอดมาได้ก็ไม่สมบูรณ์ทางด้านร่างกาย นั่นเป็นเพราะกรรม ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่จะเสกสรรค์บันดาล ให้เป็นไปตามอำนาจของมัน แต่สิ่งที่กำหนดผลลัพธ์ของกรรมในปัจจุบันนี้คือ การคิดและตัดสินการกระทำในอดีต เช่นกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในอนาคต ก็ต้องมาจากการกระทำของเราในปัจจุบัน การทำปัจจุบันให้ดี ก็เท่ากับ การที่เราสามารถกำหนดอนาคตของเราได้ด้วยตัวเราเอง ไม่ต้องพึ่งพิงการช่วยเหลือจากเทพ เทวดาองค์ใดเลย เมื่อย้อนนึกดู ข้าพเจ้าชอบคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า เหตุของความทุกข์ของสัตว์ทั้งหลายนั้น ล้วนมีที่มาจากความไม่รู้ ซึ่งรวมได้ถึงความไม่รู้ในกรรมของตน เหตุของความเป็นไปทั้งในอดีตและปัจจุบัน ความไม่รู้นี้เองได้ปิดกั้นทำให้สัตว์ทั้งหลายต่างลองผิดลองถูก อยู่นับชาตินับภพไม่ถ้วน และกระทำกรรมอันดีชั่วมากมาย ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ ก็ทำให้ประสบความทุกข์ยากไปต่างๆ นาๆ แม้ในบางครั้งจะได้รับความสุขบ้าง แต่ความสุขที่ได้นั้นก็ไม่อาจจะอยู่เที่ยงแท้ถาวร หาไม่ ความสุขนั้นกลับเป็นเชื้อ ในการแสวงหาสร้างความทุกข์ให้กับตัวเองในอนาคตอีกก็มี สำหรับบางคนที่ชอบโทษโชคชะตาที่ชีวิตของตัวเอง ว่าต่ำต้อยไร้ค่าเมื่อเทียบกับคนอื่นซึ่งมีฐานะดีกว่าและสร้างแรงกดดันบีบเค้นน้อยใจ จนไม่สามารถสร้างความสุขให้กับชีวิตได้เลย นั่นเพราะเรามัวแต่เงยหน้ามองสิ่งที่อยู่สูงกว่า หากแต่ไม่เคยก้มหน้ามองดูสิ่งที่ต่ำกว่าตามพื้นดินบ้าง ว่าเราโชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ มีสัตว์เดรัจฉานมากมายตามพื้นดิน ที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก บางจำพวกมีชีวิตเพียงเป็นอาหารให้กับมนุษย์ และก็ลาโลกนี้ไป โดยที่ไม่ได้สัมผัสสิ่งที่เรียกว่าอิสระภาพ เหมือนกับที่มนุษย์ได้รับ เวลาของมนุษย์บนโลกนี้ ช่างน้อยนักท่านทั้งหลาย อย่าพึงใช้เวลาอันน้อยนี้ดูถูกตัวเองและผู้อื่น จงดิ้นรนไขว่ขว้าหาสิ่งที่ประเสริฐสูงสุดในกรอบของศิลธรรม ให้การช่วยเหลือมนุษย์และสัตว์ด้วยความเมตตาบ้าง เพื่อสร้างเมล็ดพันธุ์ของการกระทำที่ดีงามต่อกันเถิด...นะ

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ฟังไม่ได้ศัพท์ จับเอามากระเดียด

ความหมาย ยังไม่ทันรู้รายละเอียด แต่เอามาเป็นเรื่องจริงจัง
ภาษิตคำกลอน
หมายถึงคน ฟังเรื่อง ที่เขาเล่า
ยังไม่เข้า ถึงแก่น แม่นขมัง
ยังไม่รู้ รายละเอียด อย่างจริงจัง
เขาก็ยัง เอามาเล่า เอาเป็นจริง
อธิบาย
บุคคลบางคนมีนิสัยไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน ได้ยินได้ฟังเรื่องอะไร
ก็ไม่ไตร่ตรอง ไม่พิจารณา ไม่ใคร่ครวญ ไม่สอบสวนหาความจริงก่อน
รีบนำมาตีแผ่ขยายความออกไปทันที นำความเสียหายมาสู่ตนเอง
และส่วนรวม

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แพะรับบาป

ความหมาย
คนผู้รับกรรมแทนการกระทำของผู้อื่น
ภาษิตคำกลอน
หมายถึงผู้ รับกรรม แทนผู้อื่น
ไม่แช่มชื่น เต็มใจ อะไรหนา
รู้ตัวเอง ไม่ได้ทำ อะไรมา
แต่ทว่า ได้รับเคราะห์ เป็นเพราะกรรม
อธิบาย
บุคคลบางคน ถึงคราวเคราะห์หามยามร้าย ไม่เคยทำความผิดเลย
ตั้งแต่เกิดมา แต่อยู่ดี ๆ ก็มีเจ้าหน้าที่มาจับกุม บอกว่าไปทำผิด
อย่างนั้น ๆ มีพยานหลักฐานมัดตัว แม้จะแก้ตัว มีพยานหลักฐาน
ประกอบเท่าไรก็แก้ไม่ตก จึงต้องรับกรรมแทนคนอื่นไป

วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เข้าด้ายเข้าเข็ม

เวลาที่มีความสำคัญและมีความคับขัน
เป็นภาษิตคำกลอน ดังนี้
หมายถึงกาล เวลา สำคัญยิ่ง
คับขันจริง ยิ่งคิด ยิ่งสับสน
ว่าจะทำ อย่างไร กับใจตน
ดับเครื่องชน ให้แหลก หรือแยกกัน
อธิบายว่า
ในบางครั้งบางคราว บางเวลา บางเหตุการณ์ มีจุดเด่น หรือจุด
ล่อแหลมต่อบุคคล หรือต่อชีวิต ทั้งที่เป็นส่วนดี และส่วนเสีย
เช่น ความรักจวนจะสมปรารถนาอยู่รอมร่อ และเหตุการณ์จวน
จะถึงขั้นแตกหักกันอยู่แล้ว จึงเรียกว่า เวลาเข้าด้ายเข้าเข็ม

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เจ้าชู้ไก่แจ้

หมายถึง ผู้ที่ชอบแต่งตัวดี เดินกรีดกรายไปมา ไม่กล้าเกี้ยวพาราสี
ดังภาษิต
หมายถึงคน สนใจ ในหญิงอื่น
แต่งตัวชื่น ชอบใจ ฝักใฝ่หา
แสดงท่า กรีดกราย เดินไปมา
แต่ไม่กล้า ออกปากเกี้ยว แค่เหลียวมอง
อธิบาย
บุคคลบางคน มีนิสัยชอบผู้หญิง แต่ไม่กล้าไปพูดจาเกี้ยวพาราสี
กลัวเขาจะไม่พูดด้วย กลัวจะเสียหน้า จึงได้แต่แต่งตัวดี ๆ แต่งตัว
หล่อ ๆ หวีผมทาแป้งแล้วไปเดินผ่าน เดินกรีดกรายทำท่าทาง
กระดิกกระดี้ให้หมู่สตรีเขาแลมองเท่านั้นเอง

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คนงามเพราะแต่ง

คนเราจะสวยงาม อยู่ที่แต่งกายดี แต่งใจดี กิริยามารยาทงาม ดังภาษิตนี้
คนน่ายล เพราะผล ของการแต่ง
ทั่วทุกแห่ง ต้องเติม และเสริมสวย
แต่งตัวดี มีเสน่ห์ ยิ้มเร่รวย
คนหมดสวย หากเปลื้องผ้า หมดค่าคน
อธิบาย ถ้าคนไม่รู้จักแต่งตัว เช่น หน้าไม่ล้าง ผมไม่สระไม่หวี
ไม่ใส่เสื้อผ้าก็จะดูไม่ได้เลย ถ้าอยากสวยจึงจำเป็นต้องแต่งตัว
เช่น ชำระร่างกายให้สะอาด ใส่เสื้อผ้าที่สวยงาม แต่งทรงผม
และทาปากบ้าง จึงมีคำพูดกันว่า ไม่เสริมก็ไม่สวย และต้อง
มีศีลธรรมนำกาย วาจา ใจด้วย จะสวยยิ่งขึ้น